ชุติมา สดเจริญ (https://www.gotoknow.org/posts/547007) กล่าวว่าทฤษฎีกระบวนการทางสมองในการประมวลผลข้อมูล เป็นทฤษฎีที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาสติปัญญาของมนุษย์ เกี่ยวกับการทำงานของสมอง ทฤษฎีเริ่มได้รับความนิยมมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 จนถึงปัจจุบัน ชื่อในภาษาไทยหลายชื่อ เช่น ทฤษฎีประมวลสารข้อมูลข่าวสาร ทฤษฎีการประมวลผลข้อมูลสารสนเทศ ในที่นี้ จะใช้เรียกว่าทฤษฎีกระบวนการทางสมองในการประมวลข้อมูล
ทฤษฎีนี้มีแนวคิดว่า
การทำงานของสมองมีความคล้ายคลึงกับการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
คลอสเมียร์ (Klausmeier,1985:108) ได้อธิบายการเรียนรู้ของมนุษย์โดยเปรียบเทียบการทำงานของคอมพิวเตอร์กับการทำงานของสมอง
ซึ่งมีการทำงานเป็นขั้นตอนดังนี้ คือ
1.การรับข้อมูล
(Input) โดยผ่านทางอุปกรณ์หรือเครื่องรับข้อมูล
2.การเข้ารหัส
(Encoding) โดยอาศัยชุดคำสั่งหรือซอฟต์แวร์ (Software)
3.การส่งข้อมูลออก
(Output) โดยผ่านทางอุปกรณ์
คลอสเมียร์ (Klausmeier,1985:105) ได้อธิบายการประมวลผลข้อมูลโดยเริ่มต้นจากการที่มนุษย์รับสิ่งเร้าเข้ามาทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 สิ่งเร้าที่เข้ามาจะได้รับการบันทึกไว้ในความจำระยะสั้น
ซึ่งการบันทึกนี้จะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 2 ประการ
คือ การรู้จัก(Recognition) และความสนใจ (Atention) ของบุคคลที่รับสิ่งเร้า บุคคลจะเลือกรับสิ่งเร้าที่ตนรู้จักหรือมีความสนใจ
สิ่งเร้านั้นจะได้รับการบันทึกลงในความจำระยะสั้น (Short-Term Memory)ซึ่งดำรงคงอยู่ในระยะเวลาที่จำกัดมาก
แต่ละบุคคลมีความสามารถในการจำระยะสั้นที่จำกัด
ในการทำงานที่จะเป็นต้องเก็บข้อมูลไว้ใช้ชั่วคราว อาจจำเป็นต้องใช้เทคนิคต่าง ๆ
ในการจำช่วย เช่น การจัดกลุ่มคำ หรือการท่องซ้ำ ๆ
ซึ่งจะสามารถช่วยให้จดจำไว้ใช้งานได้การเก็บข้อมูลไว้ใช้ในภายหลัง
สามารถทำได้โดยข้อมูลนั้นจำเป็นต้องได้รับการประมวลและเปลี่ยนรูปโดยการเข้ารหัส (Encoding) เพื่อนำไปเก็บไว้ในความจำระยะยาว (Long Term Memory) ซึ่งอาจต้องใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น การท่องซ้ำหลาย ๆ ครั้ง
หรือการทำข้อมูลให้มีความหมายกับตนเอง
โดยการสัมพันธ์สิ่งที่เรียนรู้สิ่งใหม่กับสิ่งเก่าที่เคยเรียนรู้มาก่อน
ซึ่งเรียกว่า เป็นกระบวนการขยายความคิด (Elaborative Operations Process)ความจำระยะยาวนี้มี 2 ชนิด คือ
ความจำที่เกี่ยวกับภาษา (Semantic) และความจำที่เกี่ยวกับเหตุการณ์
(Affective Memory) เมื่อข้อมูลข่าวสารได้รับการบันทึกไว้ในความจำระยะยาวแล้ว
บุคคลจะสามารถเรียกข้อมูลต่าง ๆ ออกมาใช้ได้ ซึ่งในการเรียกข้อมูลออกมาใช้
บุคคลจำเป็นต้องถอดรหัสข้อมูล (Decoding) จากความจำระยะยาว
และส่งต่อไปสู่ตัวก่อกำเนิดพฤติกรรมตอบสนอง
ซึ่งจะเป็นแรงขับหรือกระตุ้นให้บุคคลมีการเคลื่อนไหว
หรือการพูดสนองตอบต่อสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ กระบวนการของการประมวลข้อมูลของมนุษย์
กระบวนการสมองในการประมวลข้อมูล หากเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์แล้ว ก็คือ
โปรแกรมสั่งงาน หรือ “Software” การบริหารควบคุมการประมวลข้อมูลของสมองคือการที่บุคคลรู้ถึงการคิดของตนและสามารถควบคุมการคิดของตนให้เป็นไปในทางที่ตนต้องการ
การรู้ เรียกว่า “Metacognition” หรือ “การรู้คิด” หมายถึง
การตระหนักรู้ (Awareness) เกี่ยวกับความรู้และความสามารถของตน
และใช้ความเข้าใจในการรู้การจัดการควบคุมกระบวนการคิด ด้วยวิธีต่าง ๆ
ช่วยให้การเรียนรู้และงานที่ทำประสบผลสำเร็จตามที่ต้องการ
องค์ประกอบสำคัญของการรู้คิดที่ใช้ในการบริหารควบคุมกระบวนการประมวลข้อมูล
ประกอบด้วยแรงจูงใจ ความตั้งใจ และความมุ่งหวังต่าง ๆ รวมทั้งเทคนิคและกลวิธีต่าง
ๆกระบวนการรู้คิด ประกอบด้วย ความใส่ใจ (Attention) การรับรู้ (Perception)กลวิธีต่าง ๆ (Strategies) เช่น รู้ว่าตนไม่สามารถจดจำสิ่งที่ครูสอนได้ เราคิดหากลวิธีต่าง ๆ
ที่จะมาช่วยให้จดจำสิ่งที่เรียนได้มากขึ้น อาจใช้วิธีการท่อง การจดบันทึก
การท่องจำเป็นกลอน การท่องตัวย่อ การทำรหัส การเชื่อมโยงในสิ่งที่สัมพันธ์กัน
เป็นต้น
แผนผังเมตาคอกนิชันหรือกระบวนการควบคุมการรู้คิดในกรอบทฤษฎี
กระบวนการทางสมองในการประมวลข้อมูล ( Eggen
and Kauchak, 1997)
การประยุกต์ใช้ทฤษฎีในการจัดการเรียนการสอน
1. การรู้จัก มีผลต่อการรับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง หากเรารู้จักสิ่งนั้นมาก่อน
เราก็มักจะเลือกรับรู้สิ่งนั้น และนำไปเก็บไว้ในหน่วยความจำต่อไป ดังนั้น
การนำเสนอสิ่งเร้าที่ผู้เรียนรู้จักหรือมีข้อมูลอยู่
แล้วจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนหันมาใส่ใจและรับรู้สิ่งนั้น ซึ่งผู้สอนสามารถเชื่องโยงไปถึงสิ่งใหม่ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นได้
2.ความใส่ใจ
เป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการรับข้อมูลเข้ามาไว้ในความจำระยะสั้น ดังนั้น
ในการจัดการเรียนการสอน
จึงควรจัดสิ่งเร้าในการเรียนรู้ให้ตรงกับความสนใจของผู้เรียน
เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนใส่ใจและรับรู้สิ่งนั้น
และนำไปเก็บบันทึกไว้ในความจำระยะสั้นต่อไป
3. หากต้องการจะให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาสาระใด ๆ ได้เป็นเวลานาน
สาระนั้นจะต้องได้รับการเข้ารหัส เพื่อนำไปเข้าหน่วยความจำระยะยาว
วิธีการเข้ารหัสสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การท่องจำซ้ำ ๆ การทบทวน
หรือการใช้กระบวนการขยายความคิด ได้แก่ การเรียบเรียง ผสมผสาน ขยายความ
และการสัมพันธ์ความรู้ใหม่กับความรู้เดิม
4. ข้อมูลที่ถูกนำไปเก็บไว้ในหน่วยความจำระยะสั้นหรือระยะยาวแล้ว
สามารถเรียกออกมาใช้งานได้โดยผ่าน “Effector” ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นพฤติกรรมทางวาจาหรือการกระทำ
(Vocal and Motor Response Generator) ซึ่งทำให้บุคคลแสดงความคิดภายในออกเป็นพฤติกรรมที่สังเกตเห็นได้
การที่บุคคลไม่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เก็บไว้ได้
อาจจะเป็นเพราะไม่สามารถเรียกข้อมูลให้ขึ้นถึงระดับจิตสำนึกได้ (Conscious
Level)หรือเกิดการลืมขึ้น
5. การที่ผู้เรียนรู้ตัวและรู้จักการบริหารควบคุมกระบวนการทางปัญหาหรือกระบวนการคิดของตนก็จะสามารถทำให้บุคคลนั้นสามารถสั่งงานให้สมองกระทำการต่าง
ๆ อันจะทำให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ได้
http://oknation.net/blog/print.php?id=294321 กล่าว่าเป็นทฤษฏีที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาสติปัญญาของมนุษย์
โดยให้ความสนใจเกี่ยวกับการทำงานของสมอง ทฤษฏีนี้มีแนวคิดว่า การทำงานของสมองมนุษย์มีความคล้ายคลึงกับการทำงานของคอมพิวเตอร์
หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้ คือ
การนำเสนอสิ่งเร้าที่ผู้เรียนรู้จักหรือมีข้อมูลอยู่จะสามารถช่วยให้ผู้เรียนหันมาใส่ใจและรับรู้สิ่งนั้น
จัดสิ่งเร้าในการเรียนรู้ให้ตรงกับความสนใจของผู้เรียน สอนให้ฝึกการจำโดยใช้วิธีการที่หลากหลาย หากต้องการให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาสาระใดๆ
ได้เป็นเวลานาน สาระนั้นจะต้องได้รับการเข้ารหัส(encoding) เพื่อนำไปเข้าหน่วยความจำระยะยาว วิธีการเข้ารหัสสามารถทำได้หลายวิธี
เช่น การท่องจำซ้ำๆ การทบทวน หรือการใช้กระบวนการขยายความคิด
http://e-book.ram.edu/e-book/s/SE742/chapter3.pdf ได้รวบรวมและกล่าวถึงทฤษฎีนี้ว่า คิดค้นโดย Klausmeier ทฤษฏีนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาสติปัญญาของมนุษย์
ด้านการทางานของสมองโดยมีแนวคิดว่าการทางานของสมองมนุษย์มีความคล้ายคลึงกับการทางานของเครื่องคอมพิวเตอร์
มีทฤษฏีการเรียนรู้ และการประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ สรุปได้ดังนี้ (ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ , 2552 : หน้า 31-33)
ทฤษฏีการเรียนรู้
Klausmeier กล่าวว่าสมองของมนุษย์สามารถเรียนรู้ได้เหมือนการทางานของคอมพิวเตอร์ โดยมีขั้นตอนการทางาน 3 ขั้นตอนดังนี้
ทฤษฏีการเรียนรู้
Klausmeier กล่าวว่าสมองของมนุษย์สามารถเรียนรู้ได้เหมือนการทางานของคอมพิวเตอร์ โดยมีขั้นตอนการทางาน 3 ขั้นตอนดังนี้
1. การรับข้อมูล (input) โดยผ่านทางอุปกรณ์หรือเครื่องรับข้อมูล กระบวนการประมวลข้อมูลเริ่มต้นจากการที่มนุษย์รับสิ่งเร้าเข้ามาทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 สิ่งเร้าที่เข้ามาจะได้รับการบันทึกไว้ในความจาระยะสั้น
ซึ่งการบันทึกนี้จะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 2 ประการ
คือ การรู้จัก (recognition) และ ความใส่ใจ (attention) ของบุคคลที่รับสิ่งเร้า สิ่งเร้านั้นจะได้รับการบันทึกลงในความจาระยะสั้น (short
– term memory) ซึ่งจะอยู่ในระยะเวลาที่จากัด
ในการทางานที่จาเป็น ต้องเก็บข้อมูลไว้ใช้ชั่วคราว อาจจาเป็นต้องใช้เทคนิคต่างๆในการช่วยจา
เช่น การจัดกลุ่มคาหรือการท่อช้าๆซึ่งจะช่วยให้จำได้
2. การเข้ารหัส (encoding) ทำได้โดยอาศัยชุดคาสั่ง หรือซอฟแวร์ (software) การเก็บข้อมูลไว้ใช้ในภายหลัง ทาได้โดยข้อมูลนั้นต้องได้รับการประมวล
และเปลี่ยนรูปโดยการเข้ารหัส เพื่อนาไปเก็บไว้ในความจาระยะยาว (long –
term memory) ซึ่งอาจต้องใช้เทคนิคต่างๆเข้าช่วย เช่น
การทาข้อมูลให้มีความหมายกับตนเอง โดยการสัมพันธ์สิ่งที่เรียนรู้ใหม่กับสิ่งเก่าที่เคยเรียนรู้มาก่อน
ซึ่งเรียกว่าเป็นกระบวนการขยายความคิด (elaborative operations
process) ความจำระยะยาวมี 2 ชนิด คือ ความจำที่เกี่ยวกับภาษา (semantic) และความจำที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ (episodic)
ความจำระยะยาวมี 2 ประเภท คือ ความจำประเภทกลไกที่เคลื่อนไหว (motoric memory) หรือ ความจำประเภทอารมณ์ ความรู้สึก (affective memory)
ความจำระยะยาวมี 2 ประเภท คือ ความจำประเภทกลไกที่เคลื่อนไหว (motoric memory) หรือ ความจำประเภทอารมณ์ ความรู้สึก (affective memory)
3. การส่งข้อมูลออก (output) ทำได้โดยผ่านทางอุปกรณ์เมื่อข้อมูลได้รับการบันทึกไว้
ในความจาระยะยาวแล้วบุคคลจะสามารถเรียกข้อมูลต่างๆออกมาใช้ได้
การเรียกข้อมูลออกมาใช้ บุคคลต้องถอดรหัสข้อมูล (decoding) จากความจาระยะยาวนั้น และส่งผลต่อไปสู่ตัวก่อกำเนิดพฤติกรรมตอบสนอง
ซึ่งจะเป็นแรงขับหรือกระตุ้นให้บุคคลมีการเคลื่อนไหวหรือการพูด
สนองตอบต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ
การประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ ทำได้ดังนี้
1. การนำเสนอสิ่งเร้าที่ผู้เรียนรู้จักหรือมีข้อมูลอยู่แล้วจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนหันมาใส่ใจและ
รับรู้สิ่งนั้น
ซึ่งผู้สอนสามารถเชื่อมโยงไปถึงสิ่งใหม่ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นได้
2. ผู้สอนควรจัดสิ่งเร้าในการเรียนรู้ให้ตรงกับความสนใจของผู้เรียน
เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนใส่ใจและรับรู้สิ่งนั้3. ข้อมูลที่ผ่านการรับรู้แล้ว
จะถูกนำไปเก็บไว้ในความจาระยะสั้น หากต้องการที่จะจำสิ่งนั้นนานๆต้องใช้วิธีการต่างๆช่วย
เช่น การท่องซ้ำกันหลายๆครั้ง หรือ การจัดสิ่งที่จำ ให้เป็นหมวดหมู่ง่ายแก่การจำ
เป็นต้น4. การจะให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาสาระใดๆได้เป็นเวลานาน
เนื้อหาสาระนั้นจะต้องได้รับการเข้ารหัส เพื่อนำไปเข้าหน่วยความจำระยะยาว วิธีการเข้ารหัสสามารถทำได้หลายวิธี
เช่น การท่องจำซ้ำๆ การทบทวน หรือการใช้กระบวนการขยายความคิด ซึ่งได้แก่
การเรียบเรียง ผสมผสาน ขยายความ และการสัมพันธ์ความรู้ใหม่กับความรู้เดิม
5. การที่บุคคลไม่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เก็บไว้ได้อาจจะเป็นเพราะไม่สามารถเรียกข้อมูลให้ขึ้นถึงระดับจิตสานึกได้(conscious
level) หรือเกิดการลืมขึ้นข้อมูลที่ถูกนำไปเก็บไว้ในหน่วยความจำระยะสั้นหรือระยะยาว
แล้วสามารถเรียกออกมาใช้งานได้ โดยผ่านeffector ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นพฤติกรรมทางวาจาหรือการกระทำให้บุคคลแสดงความคิดภายในออกมาเป็นพฤติกรรมที่สังเกตเห็นได้
6. การที่ผู้เรียนรู้ตัวและรู้จักการบริหารควบคุมกระบวนการทางปัญญาหรือกระบวนการคิดของตนก็จะสามารถทำให้บุคคลนั้นสามารถสั่งงานให้สมองกระทำการต่างๆอันจะทาให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการเรียนรู้ได้
6. การที่ผู้เรียนรู้ตัวและรู้จักการบริหารควบคุมกระบวนการทางปัญญาหรือกระบวนการคิดของตนก็จะสามารถทำให้บุคคลนั้นสามารถสั่งงานให้สมองกระทำการต่างๆอันจะทาให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการเรียนรู้ได้
อาจสรุปได้ว่า ทฤษฎีกระบวนการทางสมองในการประมวลผลข้อมูล
เป็นทฤษฎีที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาสติปัญญาของมนุษย์
เกี่ยวกับการทำงานของสมอง ทฤษฎีเริ่มได้รับความนิยมมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 จนถึงปัจจุบัน ชื่อในภาษาไทยหลายชื่อ เช่น ทฤษฎีประมวลสารข้อมูลข่าวสาร
ทฤษฎีการประมวลผลข้อมูลสารสนเทศ ในที่นี้
จะใช้เรียกว่าทฤษฎีกระบวนการทางสมองในการประมวลข้อมูล สมองของมนุษย์สามารถเรียนรู้ได้เหมือนการทางานของคอมพิวเตอร์
โดยมีขั้นตอนการทางาน 3 ขั้นตอนดังนี้
1. การรับข้อมูล (input) โดยผ่านทางอุปกรณ์หรือเครื่องรับข้อมูล กระบวนการประมวลข้อมูลเริ่มต้นจากการที่มนุษย์รับสิ่งเร้าเข้ามาทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 สิ่งเร้าที่เข้ามาจะได้รับการบันทึกไว้ในความจาระยะสั้น ซึ่งการบันทึกนี้จะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 2 ประการ คือ การรู้จัก (recognition) และ
ความใส่ใจ (attention) ของบุคคลที่รับสิ่งเร้า
สิ่งเร้านั้นจะได้รับการบันทึกลงในความจาระยะสั้น (short – term
memory) ซึ่งจะอยู่ในระยะเวลาที่จากัด ในการทางานที่จาเป็น
ต้องเก็บข้อมูลไว้ใช้ชั่วคราว อาจจาเป็นต้องใช้เทคนิคต่างๆในการช่วยจา เช่น
การจัดกลุ่มคาหรือการท่อช้าๆซึ่งจะช่วยให้จำได้
2. การเข้ารหัส (encoding) ทำได้โดยอาศัยชุดคาสั่ง หรือซอฟแวร์ (software) การเก็บข้อมูลไว้ใช้ในภายหลัง ทาได้โดยข้อมูลนั้นต้องได้รับการประมวล
และเปลี่ยนรูปโดยการเข้ารหัส เพื่อนาไปเก็บไว้ในความจาระยะยาว (long –
term memory) ซึ่งอาจต้องใช้เทคนิคต่างๆเข้าช่วย เช่น
การทาข้อมูลให้มีความหมายกับตนเอง โดยการสัมพันธ์สิ่งที่เรียนรู้ใหม่กับสิ่งเก่าที่เคยเรียนรู้มาก่อน
ซึ่งเรียกว่าเป็นกระบวนการขยายความคิด (elaborative operations
process) ความจำระยะยาวมี 2 ชนิด
คือ ความจำที่เกี่ยวกับภาษา (semantic) และความจำที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ (episodic)
ความจำระยะยาวมี 2 ประเภท คือ ความจำประเภทกลไกที่เคลื่อนไหว (motoric memory) หรือ ความจำประเภทอารมณ์ ความรู้สึก (affective memory)
ความจำระยะยาวมี 2 ประเภท คือ ความจำประเภทกลไกที่เคลื่อนไหว (motoric memory) หรือ ความจำประเภทอารมณ์ ความรู้สึก (affective memory)
3. การส่งข้อมูลออก (output) ทำได้โดยผ่านทางอุปกรณ์เมื่อข้อมูลได้รับการบันทึกไว้
ในความจาระยะยาวแล้วบุคคลจะสามารถเรียกข้อมูลต่างๆออกมาใช้ได้ การเรียกข้อมูลออกมาใช้
บุคคลต้องถอดรหัสข้อมูล (decoding) จากความจาระยะยาวนั้น
และส่งผลต่อไปสู่ตัวก่อกำเนิดพฤติกรรมตอบสนอง
ซึ่งจะเป็นแรงขับหรือกระตุ้นให้บุคคลมีการเคลื่อนไหวหรือการพูด
สนองตอบต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ
การประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ ทำได้ดังนี้
1. การนำเสนอสิ่งเร้าที่ผู้เรียนรู้จักหรือมีข้อมูลอยู่แล้วจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนหันมาใส่ใจและ
รับรู้สิ่งนั้น
ซึ่งผู้สอนสามารถเชื่อมโยงไปถึงสิ่งใหม่ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นได้
2. ผู้สอนควรจัดสิ่งเร้าในการเรียนรู้ให้ตรงกับความสนใจของผู้เรียน
เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนใส่ใจและรับรู้สิ่งนั้น
3. ข้อมูลที่ผ่านการรับรู้แล้ว จะถูกนำไปเก็บไว้ในความจาระยะสั้น
หากต้องการที่จะจำสิ่งนั้นนานๆต้องใช้วิธีการต่างๆช่วย เช่น
การท่องซ้ำกันหลายๆครั้ง หรือ การจัดสิ่งที่จำ ให้เป็นหมวดหมู่ง่ายแก่การจำ
เป็นต้น
4. การจะให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาสาระใดๆได้เป็นเวลานาน
เนื้อหาสาระนั้นจะต้องได้รับการเข้ารหัส เพื่อนำไปเข้าหน่วยความจำระยะยาว
วิธีการเข้ารหัสสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การท่องจำซ้ำๆ การทบทวน
หรือการใช้กระบวนการขยายความคิด ซึ่งได้แก่ การเรียบเรียง ผสมผสาน ขยายความ
และการสัมพันธ์ความรู้ใหม่กับความรู้เดิม
5. การที่บุคคลไม่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เก็บไว้ได้อาจจะเป็นเพราะไม่สามารถเรียกข้อมูลให้ขึ้นถึงระดับจิตสานึกได้(conscious
level) หรือเกิดการลืมขึ้นข้อมูลที่ถูกนำไปเก็บไว้ในหน่วยความจำระยะสั้นหรือระยะยาว
แล้วสามารถเรียกออกมาใช้งานได้ โดยผ่านeffector ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นพฤติกรรมทางวาจาหรือการกระทำให้บุคคลแสดงความคิดภายในออกมาเป็นพฤติกรรมที่สังเกตเห็นได้
6. การที่ผู้เรียนรู้ตัวและรู้จักการบริหารควบคุมกระบวนการทางปัญญาหรือกระบวนการคิดของตนก็จะสามารถทำให้บุคคลนั้นสามารถสั่งงานให้สมองกระทำการต่างๆอันจะทาให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการเรียนรู้ได้
6. การที่ผู้เรียนรู้ตัวและรู้จักการบริหารควบคุมกระบวนการทางปัญญาหรือกระบวนการคิดของตนก็จะสามารถทำให้บุคคลนั้นสามารถสั่งงานให้สมองกระทำการต่างๆอันจะทาให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการเรียนรู้ได้
อ้างอิง
การเรียนรู้เเละการสอน.
สืบค้นเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2558.
วันที่ 12 กันยายน 2558.
http://e-book.ram.edu/e-book/s/SE742/chapter3.pdf. แนวคิด/ทฤษฎีการเรียนการสอนที่เน้น
http://e-book.ram.edu/e-book/s/SE742/chapter3.pdf. แนวคิด/ทฤษฎีการเรียนการสอนที่เน้น
ทางด้านสติปัญญา. สืบค้นเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2558.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น